การปรับรูปลักษณ์ดีไซน์เดินตามแนวทาง Mazda3 ใช้แพลทฟอร์มใหม่ SKYACTIV-Vehicle Architecture พร้อม i-ACTIVSENSE ออกแบบภายใต้ KODO Design เจเนอเรชั่นใหม่ ในโฉม Minor Change ที่ออกมาคั่นกลางก่อนจะมีการเปลี่ยนเจเนอร์เรชั่นใหม่ เป็นการปรับโฉมล่าสุดที่มีการเปลี่ยนไฟหน้า กระจังหน้า กันชนหน้าและล้ออัลลอยลายใหม่ในรูปแบบตัวถังให้เลือกทั้งในแบบซีดาน 4 ประตู และแบบแฮทช์แบ็ค 5 ประตู และ 3 สีใหม่ คือ สีขาว เซรามิก เมทัลลิค สีเงิน โซนิค ซิลเวอร์ และสีเทา โพลีเมทัล เกรย์ ที่มีในเฉพาะรุ่นแฮทช์แบ็ค 5 ประตู

การตกแต่งใหม่ภายในใหม่ด้วยสีเทาฟ้าที่บริเวณคอนโซลหน้าและเบาะนั่ง อีกทั้งในส่วนของเบาะนั่งทั้งหมดยังได้มีการเพิ่มพื้นที่ของ Alcantara ที่ให้ความรู้สึกที่สปอร์ตมากยิ่งขึ้น และช่วยป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมาพร้อมกับแป้น Paddle Shift ที่หลังพวงมาลัย และปุ่ม Cruise Control ระบบควบคุมความเร็วคงที่ ปิดท้ายด้วยหน้าจอ Center Display ระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่รองรับระบบ Apple CarPlay

และตามคอนเซ็ปต์ HMI (Human-Machine Interface) ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตามจากถนน อุปกรณ์มาตรฐาน และตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ในรถ ไม่ว่าจะเป็น Active Driving Display จอสกรีนใสแสดงข้อมูลการขับขี่ในระดับสายตา, ปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander บริเวณคอนโซลกลางอยู่ในตำแหน่งที่ผู้ขับ ที่เป็นเซ็นเตอร์ในรถ สามารถใช้งานได้สะดวก

ในเรื่องขุมพลัง New Mazda2 เป็นรุ่นเดียวที่รวมเอาสมรรถนะของรถยนต์ระดับ B-Segment และความประหยัดของ Eco Car เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งในเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล (SKYACTIV-D) 1.5 ลิตร แรงม้าสูงสุด 105 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ระบบอัดอากาศเทอร์โบแปรผัน ชุดลดอุณหภูมิไอดีอินเตอร์คูลเลอร์ เคลมอัตราสิ้นเปลืองมากถึง 26.3 กิโลเมตร/ลิตร ที่ในคลาสนี้ก็จะมีแต่ New Mazda2 เป็นรุ่นเดียวที่มีเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกใช้งาน

รวมไปถึงในตัวบล็อคเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน (SKYACTIV-G) 1.3 ลิตร แรงม้าสูงสุด 93 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 123 นิวตัน-เมตร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 23.3 กิโลเมตร/ลิตร โดยทั้ง 2 เครื่องยนต์นั้น ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5

ใน New Mazda2 ระบบความปลอดภัย i-ACTIVSENSE จะส่งสัญญาณเตือนเมื่อพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุรอบคัน เช่น ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะขณะเปลี่ยนเลน (Advanced Blind Spot Monitoring) ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลังหรือ RCTA (Rear Cross Traffic Alert) และระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง พร้อมระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า

GVC รุ่นใหม่นี้เพิ่มความปลอดให้อีกเท่า GVC-Plus ระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง ที่หยิบยกมาจากรุ่นพี่ Mazda3 โดยการทำงานของระบบจะทำงานตั้งแต่ขณะเริ่มเข้าโค้ง : ระบบจะลดแรงบิดเครื่องยนต์เล็กน้อยเพื่อให้ล้อหน้ายึดเกาะถนนมากขึ้นขณะอยู่ในโค้ง : แรงบิดเครื่องยนต์กลับสู่สภาวะปกติเพื่อรักษาสมดุลของรถ รวมถึงขณะออกโค้ง : ระบบจะเพิ่มการทำงานของเบรกในล้อด้านนอกโค้งเพียงเล็กน้อย เพื่อช่วยให้รถกลับสู่ทางตรงอย่างมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น

การช่วยปรับแรงบิดของเครื่องยนต์ตามการหักเลี้ยวพวงมาลัยของผู้ขับขี่ ควบคู่ไปกับการเบรกที่เหมาะสม ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้การขับขี่เป็นไปอย่างธรรมชาติ รวมทั้งช่วยเรื่องการตอบสนองที่ดีขึ้น ควบคุมรถได้แม่นยำยิ่งขึ้น รถเข้าโค้งได้สมดุลและนุ่มนวล ลดการโคลงตัวไปมาของผู้โดยสาร และ GVC-Plus ยังสามารถนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือตนเอง และบุคคลรอบข้างในกรณีที่เกิดเหตุคับขัน เพื่อช่วยลดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกทางหนึ่งด้วย

AFTER DRIVE
โดยการทดสอบครั้งนี้ Mazda ได้ให้สื่อมวลชนลองสมรรถนะบน Track ระดับโลก Chang International Circuit ได้จัดเป็นสถานีต่างๆ โดยออกแบบให้มีกรวยเป็นสิ่งกีดขวาง และหักหลบที่ความเร็วเฉลี่ย 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อลองระบบ GVC-Plus ที่จะช่วยทำการเบรกล้อด้านนอกโค้ง ทำให้ตัวรถกลับคืนสู่ทางตรงได้รวดเร็ว ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องแก้อาการของรถเหมือนรถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่ไม่มี GVC-Plus

สถานีการนำรถเข้าโค้งต่อเนื่อง ด้วยตำแหน่งของโค้งนั้น จะมีความลาดเอียงที่ไม่เท่ากัน อีกทั้งยังมีทั้งลงเนิน และขึ้นเนินด้วย ซึ่ง New Mazda 2 นั้น ก็สามารถจิกโค้งเข้า Racing Line ได้ดี ด้วยตัวระบบ GVC-Plus ก็จะเข้ามาควบคุมอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกมั่นคง และปลอดภัย โดยภาพรวมหลังจากที่ได้ทดลองระบบ GVC-Plus แล้ว ต้องบอกว่า เป็นระบบที่ช่วยให้ตัวรถมีเสถียรภาพในการควบคุมรถที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน อีกทั้งยังช่วยมอบความมั่นใจและความปลอดภัยในการขับขี่เพิ่มขึ้น

ส่วนในเรื่องกำลังของรถในสนามแข่งได้ลองเค้นกำลังรถ ทั้งในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล มาให้ได้ทดลองขับกันอย่างครบถ้วน ก็สามารถทำเวลาในการขับในสนามได้ดี การฝึกเข้าโค้งที่ความเร็ว โดยเน้นที่การหาจุดเบรกเหมาะสม รวมทั้งใช้เบรกเพื่อชะลอและถ่ายน้ำหนักตัวรถให้เข้าโค้งความเร็วสูงได้สมูท ซึ่งช่วยให้เข้าใจอาการของตัวรถดียิ่งขึ้น และในช่วงของการขับแบบ Hot Lap แบบขับเต็มรอบสนาม

โดยในเครื่องยนต์เบนซินนั้น แม้จะมีพละกำลังและเครื่องยนต์น้อยกว่า แต่ให้โหมด Sport มาเป็นตัวช่วยเร่งแซง ทำให้ขับสนุกไม่แพ้กันในทั้ง 2 รูปแบบ อัตราเร่ง การเบรกที่ควบคุมลดเกียร์ลงได้ทันใจ อัตราเร่งจะมาแบบโทนนุ่มนวล ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลที่มีแป้น Paddle Shift ให้เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เองนั้น อัตราเร่งจัดจ้านกว่าอย่างเห็นได้ชัด การขับขี่โดยรวมทำได้สนุกเร้าใจกว่า อัตราเร่งจังหวะออกโค้งทำได้เนียนกว่า

New Mazda2 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 1.3 ลิตร
New Mazda2 รุ่น 1.3 E ราคา 546,000 บาท
New Mazda2 รุ่น 1.3 C ราคา 602,000 บาท
New Mazda2 รุ่น 1.3 S ราคา 627,000 บาท
New Mazda2 รุ่น 1.3 S LEATHER ราคา 648,000 บาท
New Mazda2 รุ่น 1.3 SP ราคา 690,000 บาท

New Mazda2 เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 1.5 ลิตร
New Mazda2 รุ่น XD ราคา 782,000 บาท
New Mazda2 รุ่น XDL ราคา 799,000 บาท

ขอขอบคุณ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เชิญทดสอบในครั้งนี้