แนวคิดการกำเนิดเกิดมาของรถยนต์ประเภทมีกระบะด้านท้าย หรือรถปิกอัพนั้นก็เพื่อประโยชน์ในการบรรทุกสัมภาระ แน่นอนว่าเมื่อรถประเภทนี้เกิดมาเพื่อบรรทุกเสียแล้ว แนวทางการออกแบบและวางรูปแบบของผู้ผลิตรถยนต์ประเภทนี้ ย่อมหนีไม่พ้นความแข็งแกร่ง บรรทุกได้เยอะ ทนทานในการใช้งาน และสมรรถนะองค์รวมก็ควรต้องสมดุลกับน้ำหนักบรรทุกนั้น แต่ถ้าเมื่อใดแนวคิดการออกแบบของผู้ผลิตเปลี่ยนไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพียงแต่ผู้ใช้ผู้วิจารณ์ต้องเข้าใจเสียก่อน ว่าผู้ผลิตมีจุดประสงค์การออกแบบมาเช่นไร เพราะไม่มีรถใดจะตอบโจทย์การใช้งานได้ครอบคลุมทุกจุดประสงค์ เปรียบได้กับเป็ด ที่ว่าย(ลอย)น้ำได้ ดำน้ำได้ บินได้ แต่จะให้บินแบบนกก็คงไม่ได้ หรือดำน้ำแบบปลาก็ไม่ได้เช่นกัน…
รู้จัก All-New BT-50 กันหน่อย
หลังจากที่สื่อมวลชนสายยานยนต์เรา ได้สัมผัสแรกกับเจ้า All-New Mazda BT-50 กันไป ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา (19 Dec.2020) ที่สนามทดสอบยางไทยบริดจสโตน อ.วังน้อย จ.อยุธยา ในครั้งนั้น เราได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ All-New Mazda BT-50 ทั้งในแนวคิดของการออกแบบ และทดสอบขับขี่ภายใต้กรอบที่กำหนดตามที่ Dcar magazine ได้รายงานอย่างจำกัดข้อมูล ตามโคว์ต้าหน้ากระดาษในยุคนิวนอร์มอลไปแล้วนั้น ในรายละเอียดแนวคิด ผู้เขียน ยังไม่ได้ลงรายละเอียดเท่าใดนัก ดังนั้นจึงขอเล่าในเพจนี้ก็แล้วกัน
แนวคิดการออกแบบของมาสด้าก็คือ การตอบสนองความต้องการของลูกค้าเมื่อต้องเผชิญความท้าทายใหม่ เมื่อความต้องการใช้รถกระบะเปลี่ยนไปจากเดิม รถกระบะต้องตอบสนองการใช้งานแบบเอนกประสงค์มากขึ้น รถหนึ่งคันต้องทำให้เจ้าของรถมีความภาคภูมิใจเมื่อได้ครอบครอง ดังนั้น Mazda จึงมี 5 Keywords หลักในการออกแบบ
การออกแบบ
ภายนอก ของ All-New Mazda BT-50 จะเล็กลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตัวก่อนหน้า การออกแบบเป็นการใช้แนวคิดตามหลักการออกแบบโคโดะ (โคโดะ : จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว)
ภายใน เน้นการออกแบบที่เรียบหรู แต่ดูพรีเมียม ฟังก์ชั่นการใช้งานครบ ใช้งานง่าย ระดับอุปกรณ์มีหลากหลายตามเกรดของรถให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องเสียงแบบจอสัมผัส ระบบนำทาง ระบบปรับอากาศที่ครอบคลุมถึงที่นั่งห้องโดยสารหลัง
ฟังก์ชั่นการใช้งาน
จากพื้นฐานรถปิกอัพ Mazda ยกระดับฟังก์ชั่นการใช้งาน All-New Mazda BT-50 ให้ใกล้เคียงกับรถครอสโอเวอร์เอสยูวี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขุมพลังขับเคลื่อนที่ต้องตอบสนองได้ทั้ง On Road และ Off Road รูปแบบระบบขับเคลื่อน 2 ล้อและ 4 ล้อ ที่มาพร้อมระบบปรับเปลี่ยนด้วยไฟฟ้า เพื่อตอบสนองการใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมือง ส่วนภายในออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย และสะดวกสบายมากขึ้น อาทิ พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง เบาะนั่งคนขับแบบไฟฟ้าปรับ 8 ทิศทาง ตอบสนองสรีระผู้ขับขี่ที่แตกต่างได้อย่างละเอียดมากขึ้น เปิดไฟห้องโดยสารพร้อมสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยรีโมทได้ และสำหรับรถ 4 ประตู ยังเพิ่มองศาการเปิดประตูหลังและเพิ่มมือจับ เพื่อให้การขึ้นลงที่นั่งหลังทำได้สะดวกมากขึ้น ปรับรูปแบบการดูดซับเสียงจากภายนอกใหม่ ทั้งพรม พื้น และขอบยางประตู
การเชื่อมต่อ
ระบบ Infotainment ใน All-New Mazda BT-50 จะเป็นหน้าจอระบบสัมผัส ความละเอียดสูง WXGA มีทั้ง 7 นิ้ว และ 9 นิ้ว รวมถึงหน้าจอแสดงผล Multi information Display ขนาด 4.2 นิ้ว ที่สามารถควบคุมระบบนำทางด้วยการสัมผัสได้ ตัวระบบสามารถรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto ผ่านสาย USB

TC_BR_ALLNEWMAZDABT-50_P.16-P.17_N6
สมรรถนะ
All-New Mazda BT-50 มีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้งาน 2 ระดับ ความจุ 1.9 ลิตร 150 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มีทั้งในรูปแบบ STD, FSC , DBC และมีใช้กับระบบขับเคลื่อน 2 ล้อเท่านั้น ส่วนเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร 190 แรงม้า กับแรงบิด 450 นิวตัน-เมตร นั้นมีให้เลือกในรุ่นดับเบิ้ลแค็บขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ควบคุมด้วยลูกบิดไฟฟ้าใช้งาน 2H – 4H ได้ที่ความเร็วไม่เกิน 100 กม.ชม. ส่วน 4L ต้องหยุดรถ โครงสร้างรถ 46% เป็นเหล็กกล้าทนแรงดึงสูง ระบบช่วงล่างหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ ด้านหลังแหนบแผ่น วงเลี้ยว 6.1 เมตร
ระบบความปลอดภัย
All-New Mazda BT-50 มีระบบความปลอดภัยพื้นฐานที่เหมือนกันทุกรุ่น ประกอบไปด้วยระบบ ABS, EBD, BA, Dual Airbag, ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED, เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบผ่อนแรงดึงอัตโนมัติ, พวงมาลัยยุบตัวแปรผันตามการทำงานของถุงลมนิรภัย พร้อมแป้นเบรกยุบตัวได้ ส่วนระบบความปลอดภัยอื่น อาทิ ระบบเตือนจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ระบบเตือนจุดอับสายตาขณะถอย หรืออื่นๆ นั้นจะมีในเฉพาะรุ่น
เล่าให้ฟังหลังขับ
รถที่ทีมงาน Dcar Magazine เราได้ทดลองขับ All-New Mazda BT-50 เป็นรถแบบ HI-RASER ฟรีสไตล์แค็บ ระดับ S เครื่องยนต์ 1.9 ลิตร เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ราคา 787,000 บาท ซึ่งน่าจะเป็นรุ่นขวัญใจภูธ ทั้งในด้านราคาและการใช้งาน ซึ่งก็เป็นการดีที่เราจะได้สื่อสารไปถึงผู้ใช้รถกลุ่มใหญ่ได้เป็นอย่างดี ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าเจ้า All-New Mazda BT-50 ก็เป็นหนึ่งใน All-New Mazda BT-50 แบบอื่นๆ ที่ออกแบบมาในแนวคิดเดียวกับที่ผมเล่าแต่ต้น แต่ตัวรถรูปแบบนี้และเกรดน่าจะเป็นรถที่ถูกนำไปใช้งานแบบชาวบ้านๆ มากที่สุด
การออกแบบ
“ภายนอก” ผมเว้นไว้ฐานที่เข้าใจว่าแฟนใครก็แฟนใคร ถ้าไม่ถูกใจคงไม่จีบและแต่งงานด้วย ส่วนอยู่ด้วยแล้วจะตอบโจทย์มั้ยก็ต้องพิสูจน์ ดังนั้นสวยไม่สวยผมตอบแทนใครไม่ได้ เพราะผมเป็นผู้ทดสอบไม่ได้ซื้อมาเป็นเจ้าของ ส่วนตัวรถกระบะก็ขอให้มีกระบะสำหรับบรรทุกก็พอ ส่วนจะเล็ก ใหญ่ ตื้น ลึก กว้างแคบ บอกตรงๆ ทุกยี่ห้อในบ้านเราต่างกันแค่ตัวเลข พอเอาไปใช้งานมันก็พอๆ กันนั่นแหละ เปิดประตูกุญแจเป็นแบบรีโมทไม่มีดอกใส่กระเป๋า กดปุ่มที่มีเปิดก็ปลดล็อกเปิดรถได้แล้ว ขึ้นรถสำหรับรถขับ 2 ยกสูง สำหรับผมถือว่าสะดวกเพราะมีบันใดให้เหยียบ มีมือจับให้โหน ประตูเปิดกว้าง ผมได้เปรียบเพราะสูงไม่เกิน 160 ไม่ต้องระวังหัว ที่ไม่ชินคือ มือเปิดแค็บที่อยู่ตรงขอบ พอดีจับผ่านๆ ดูไม่ออก การเปิดต้องขยับข้อมือ ไม่ใช่ขยับนี้วทำให้รู้สึกฝืนๆ (มือเทียบกับรถคู่บุญ) อันนี้อาจจะแล้วแต่คนหรือความเคยชิน
“ภายใน” สำหรับผมส่วนตัวแล้ว มีอุปกรณ์ให้ใช้งานมาแบบครบๆ ก็ถือว่าโอเค ขึ้นรถเข้าไปนั่ง เบาะนั่งโอเค ขนาดกำลังพอดีกับสรีระผม ที่ตัวค่อนไปทางตกเกรดชายไทยถือว่าสบายๆ หันไปดูผู้โดยสารที่เป็นทั้งเจ้านาย ทั้งช่างภาพ และตัวค่อนข้างสูงใหญ่ และอายุมากแล้วก็เห็นขึ้นลงได้คล่องแคล่วนั่งได้สบาย รวมๆ ก็ถือว่าผ่าน การปรับที่นั่งแม้ว่ารุ่นนี้จะไม่มีไฟฟ้าแต่ก็ปรับได้ 6 ทิศทาง หน้า หลัง เอน ตั้ง สูง ต่ำ ครบ กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า มุมมองทัศนะวิสัยจากที่นั่งผู้ขับขี่ถือว่าโอเค ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางวงพวงมาลัยเป็นอีกจุดหนึ่งที่ส่วนตัวผมชอบ เพราะเล็กกว่ารีโว่คู่บุญที่ขับอยู่ (ผู้เขียนใช้ REVO Smart cab E Auto) ส่วนความอวบดูว่า BT-50 จะผอมเพรียวกว่า แต่อยู่ในขนาดที่กำลังดีไม่ใช่ผอมจนจับไปแล้วเจอแต่กระดูก ยังมีเนื้อมีหนัง ส่วนผิวสัมผัสก็นุ่มนวลไม่หยาบกระด้าง ตำแหน่งคันเร่ง เบรก คลัทช์ อยู่ในตำแหน่งที่พอดีทั้งระดับความสูง และระยะห่างทำให้ไม่เสนอหน้าแย่งกันรับเท้า เมื่อต้องใช้ความไวของเท้าในการขับขี่สไตล์นักซิ่ง ที่สำคัญคลัทช์เบามากทำให้ลดภาระเท้าซ้ายไปได้เยอะ หน้าจอแสดงผลผู้ขับขี่ถือว่าโอเคมีลูกเล่นให้ได้กดๆ เลื่อนๆ ปรับเล่นแก้เซ็งอยู่บ้าง เล่นง่ายใช้ง่ายจากปุ่มบนก้านพวงมาลัย หันไปดูที่ส่วนกลางมีที่วางแก้ววางขวดตามปกติคอนโซลกลาง ใต้ช่องแอร์ที่มุมเสา A ทั้ง 2 ฝั่งไม่มี มองในแง่ดี ไม่เกะกะเวลาขึ้นลง ไม่เปลี่ยนทางแอร์ไปเป่ากระจกให้เป็นฝ้า มองอีกมุมไม่สะดวกเวลาอยากกินน้ำเย็นขณะขับคนเดียว เพราะถ้าช่องเก็บของชั้นบนฝั่งผู้โดยสารมีช่องเป่าความเย็นก็จะมีน้ำเย็นดื่มแต่จะไม่สะดวก ที่ใช้คำว่าถ้า เพราะสารภาพตรงๆ ว่าลืมดูว่ามีช่องเป่าลมเย็นหรือไม่…ขยับขึ้นมาก็จะเป็นระบบปรับอากาศแบบแมนนวล ปรับลมปรับความเย็นใช้งานง่าย แอร์เย็นพัดลมเงียบถึงระดับ 3 เกินกว่านั้นเสียงดัง จอแสดงผลกลางคอนโซล จอแสดงผล 7 นิ้วแบบสัมผัส ก็สัมผัสได้ ใช้งานง่าย ลูกเล่นอาจจะน้อยไปนิด เล็กไปหน่อย และดูไม่สว่าง รวมถึงองศาจอ และแสงสะท้อนภาพรวมตรงนี้บอกก่อนว่า หนึ่งผู้เขียนไม่ได้มีเวลานั่งเล่นจริงๆ จังๆ เพราะจำกัดด้วยเวลา สองผู้เขียนไม่นิยมการที่ต้องไปวุ่นวายกับเครื่องเสียงรถยนต์ขณะขับขี่ คันเกียร์ความสูงและตำแหน่งคันเกียร์อยู่ในจุดที่พอดี ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเกียร์ใด เกียร์ถอยเข้าง่ายอยู่ในตำแหน่งเกียร์ 1 เพียงแค่เหยียบคลัทช์นิ้วชี้นิ้วกลางเหนี่ยวปลอกเลื่อนค้างไว้ แล้วขยับเบาแรงแม่นยำใช้ง่าย สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยการกดปุ่มกุญแจขอให้อยู่ที่ตัวหรือในรถ เกียร์ว่าง เหยียบคลัทช์ เหยียบเบรก กดปุ่มเครื่องยนต์ก็ติด สรุปภาพรวมภายในถือว่าโอเคเหมาะกับประเภท เกรด และราคารถ…แอบๆ รู้สึกดีตรงกดปุ่มสตาร์ท กดปุ่มปลดล็อกนี่แหละ แบบนี้ค่อยดูทันสมัยมากกว่า และตรงตามแนวคิดฟังก์ชั่นการใช้งานใกล้เคียงรถเอนกประสงค์
สมรรถนะขณะขับขี่
ส่วนตัวของผู้เขียนเองกับรถกระบะนั้นมองว่า 5 เกียร์ก็เหมาะสมแล้วกับการใช้งานในบ้านเรา แต่ก็เข้าใจผู้ผลิตรถที่ออกแบบเกียร์มามากกว่านั้น เจ้า All-New Mazda BT-50 FSC 1.9 S คันนี้ มีกำลัง 150 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตรแบบคงที่ช่วง 1,800 – 2,600 รอบ/นาที และเกียร์ธรรมดา 6 สปีดนั้นมีอัตราทด 1: 1 อยู่ที่ตำแหน่งเกียร์ 4 ส่วน 5 กับ 6 นั้นต่างกันนิดเดียว ที่ต้องพูดถึงอัตราทดเกียร์นั้น ก็เพราะมันจะมีผลต่อวิธีการขับการใช้งาน และความทนทาน เมื่อใช้งานในรูปแบบมีน้ำหนักบรรทุกกับไม่มีน้ำหนักบรรทุก สมรรถนะเท่าที่สัมผัสได้ในการใช้งานระยะทาง 344 กิโลเมตรแบบไม่มีน้ำหนักบรรทุกนั้นขับง่าย คลัทช์เบามากการจับตัวของคลัทช์กับ fly wheel เป็นไปอย่างนุ่มนวล เงียบ ออกตัวง่าย และได้นุ่มนวลมากอาจเพราะเกียร์ 1 ทดมาค่อนข้างสูง และต้องรีบเปลี่ยนเกียร์ไล่ 2 และ 3 ค่อนข้างจะชิด คนเท้าหนักอาจจะต้องหย่อนๆ เท้าลงบ้าง ช่วง 1 – 3 นี้ ถ้าบรรทุกดูจะเหมาะสมดี 3 – 4 – 5 เป็นช่วงที่ขับได้สนุก เพราะเกียร์จะรับกันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะทางที่มีโค้งเยอะ เกียร์สุดท้ายนั้นดูจะเหมาะกับการเดินทางยาวๆ ถนนโล่งๆ ถนนที่ทางโค้งสลับเยอะ ถนนที่ขึ้นเนินลงเนินเยอะจะดูเหมือนว่าเกียร์ 6 ไม่มีประโยชน์หรือออกจะเป็นภาระกลายๆ ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนเกียร์เพิ่มอีก 1 สเตป ในทางราบยาวๆ วิ่งด้วยความเร็วประมาณ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไปในเกียร์สุดท้ายการยกคันเร่งเพื่อลดความเร็ว เอนจิ้นเบรก แทบไม่ปรากฏให้รู้สึก ตรงนี้ต้องระวังและเมื่อความเร็วลดลงจนถึงระดับหนึ่งแล้ว กดคันเร่งเพิ่มความเร็วอัตราเร่งก็แทบจะไม่ปรากฏเช่นกัน ถ้าจำเป็นต้องใช้อัตราเร่งจำเป็นต้องเรียกหาเกียร์ 5 เพื่อดึงอัตราทดเกียร์มาช่วย ตรงนี้อาจเป็นเพราะรถวิ่งอยู่ในช่วงรอบที่มีแรงบิดสูงสุด (1,800 รอบ/นาที) แล้วเลยไม่ปรากฏอัตราเร่งให้ใช้ ในทางกลับกันพบว่าขับในเมืองที่เกียร์สุดท้ายความเร็วต่ำ เมื่อเติมคันเร่งกลับพบว่ารถพอจะมีอัตราเร่งลงไปขับล้อ เนื่องจากเป็นช่วงที่รอบเครื่องยนต์กำลังไต่ระดับไปหาแรงบิดสูงสุดจึงมีอัตราเร่งปรากฏ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่ช่วงความเร็วในการขับขี่ ส่วนตัวเชื่อว่าผู้ที่เป็นเจ้าของจะทำความคุ้นเคยได้ไม่ยาก ประทับใจอัตราเร่งแซงช่วงถนน 2 เลนสวนไม่ว่าจะเป็นทางราบ ขึ้นเนินหรือลงเนิน All-New Mazda BT-50 ทำได้ดีน่าประทับใจไม่มีให้ได้ลุ้น ช่วงล่างเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ขับขี่ได้สนุก คาแร๊คเตอร์ช่วงล่างออกไปทางนุ่มนวลเกาะถนนได้ดีกับการเดินทางตัวเปล่า แต่อาการความนุ่มนวลลักษณะนี้เท่าที่พบมาในรถอื่นๆ ถ้ามีน้ำหนักบรรทุกต่อให้ไม่เกินพิกัดรถ ก็จะออกไปทางย้วยหรือต้องลดความเร็วลงมาหน่อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องรอพิสูจน์ต่อไป แต่ถ้ายึดถือตามแนวทางการออกแบบของมาสด้า ที่เน้นการใช้งานเอนกประสงค์สไตล์รถครอสโอเวอร์เอสยูวีที่ไม่บรรทุกอะไรมากมายนัก All-New Mazda BT-50 ก็ดูจะเป็นคำตอบที่ค่อนข้างลงตัวเลยทีเดียว
นั่นเป็นข้อสรุปของ All-New Mazda BT-50 ที่ทีมงาน Dcar ได้มีส่วนร่วมในการเดินทางทดสอบแบบใช้งานจริงตลอดเวลา 1 วัน กับระยะทาง 344 กิโลเมตร บนรถแบบฟรีสไตล์แค็บ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด รูปลักษณ์เป็นเรื่องของความชอบ สมรรถนะเป็นเรื่องของความเข้าใจและทักษะของผู้ใช้รถเอง ไม่มีรถใดที่จะตอบโจทย์การใช้รถได้ครอบจักรวาลความต้องการ แต่ถ้าคุณชอบเสน่ห์ของรถกระบะและใช้งานแบบรถเอนกประสงค์ All-New Mazda BT-50 ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีและแน่นอนว่ามาสด้ามีให้เลือกทั้งหมด 14 รุ่น ทั้งแบบ Standard Cab, Free style Cab และ Double Cab มีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ทั้ง 1.9 และ 3.0 ลิตร ทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และอัตโนมัติ 6 สปีด ทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ มีสีให้เลือกถึง 6 สี Gunblue, Concrete gray, Red Volcano, True Black, Ice White, Ingot Silver โดยมีราคาเริ่มตั้งแต่ 553,000-1,153,000 บาท และที่สำคัญมาสด้า ยังรับประกันว่าค่าบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร All-New Mazda BT-50 ยังถูกกว่าคู่แข่งทุกยี่ห้อในท้องตลาดปัจจุบัน
ขอขอบคุณ
บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด