Home Touring เที่ยวอุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง บนวิถีสโลว์ไลฟ์

เที่ยวอุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง บนวิถีสโลว์ไลฟ์

by dcar magazine

สวัสดีท่านผู้อ่านนิตยสารดีคาร์ทุกๆ ท่าน ปี 2565 ก็ผ่านไปแล้วท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่ยังไม่ดีขึ้น แถมน้ำมันก็ขึ้นราคาถึงเจ็ดแปดครั้งในรอบเดือน แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นิตยสารดีคาร์ก็ยังคงมีเรื่องท่องเที่ยวมาฝากท่านผู้อ่านตลอดไป ฉบับนี้จะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวจังหวัดที่เป็นเมืองรองในเรื่องของการท่องเที่ยวกันบ้าง ฉบับนี้เราจะพาทุกท่านมาพบกับเมืองอุทัยธานี

การเดินทางครั้งนี้เราใช้รถยนต์ส่วนตัว โดยใช้เส้นทางบางบัวทอง-สุพรรณบุรี ผ่านชัยนาทไปยังอุทัยธานี มุ่งตรงไปที่ “วัดท่าซุง” หรือวัดจันทาราม ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่เรียกวัดท่าซุง ก็เพราะในอดีตบริเวณนี้ เป็นเส้นทางที่มีการล่องซุงกันเป็นจำนวนมาก และแพซุงต่างๆ ก็มักจะมาหยุดแวะพักที่บริเวณหน้าวัด วัดนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่มามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในสมัยพระราชพรหมยานหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เมื่อมาถึงเราเข้าไปใน “วิหารแก้ว” ซึ่งเป็นวิหารสำคัญที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ที่ท่านสร้างไว้ก่อนมรณภาพ รวมทั้งยังเป็นที่รักษาสังขารร่างของหลวงพ่อที่ไม่เน่าเปื่อยในโลงแก้ว ภายในวิหารประดับด้วยโมเสกสีขาว ทำให้ภายวิหารอลังการ สวยงามดูเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปจำลองพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระประทานในวิหารอีกด้วย วิหารแก้วจะเปิดให้ชมเป็นช่วงเวลา คือ ช่วงเช้า ตั้งแต่ 9.00-11.45 น. และช่วงบ่าย 14.00-16.00 น. จากนั้นก็นั่งรถนำเที่ยววัดซึ่งเสียค่าโดยสารคนละ 20 บาท ไปชม “วิหารสมเด็จองค์ปฐม” ต่อด้วยสักการะ “หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา” พระพุทธปางอุ้มบาตร ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของการขอพรให้ร่ำรวย และโชคลาภ และที่สุดท้ายก็คือ “ปราสาททองคำ” หรือปราสาททองกาญจนาภิเษก ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในวาระที่ทรงครองราชย์เป็นปีที่ 50 ปราสาททองคำนี้มี 3 ชั้น ด้านบนทำเป็นซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลาขนาด 8 ศอก มียอดทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ รวม 37 ยอด เป็นยอดเท่าๆ กัน 36 ยอด ตรงกลางเป็นยอดใหญ่ ดูเป็นบุญตาที่ได้มาเห็น หลังจากทำบุญกันเรียบร้อยเราก็เดินทางต่อไปที่อำเภอบ้านไร่ จุดหมายก็คือ “ยางนาแคมป์” ที่พักคืนนี้ของเรา

ก่อนเข้าที่พักเราผ่านป้ายทางเข้าชมต้นไม้ยักษ์ 500 ปี ดังนั้นเลี้ยวเข้าไปกันเลยค่ะ จอดรถเสร็จเดินผ่านตลาดเล็กๆ ไปไม่ไกล ก็จะพบกับป่าหมากและ “ต้นไม้ยักษ์” หรือ “ต้นเซียง” ซึ่งมีลักษณะเป็นไม้เนื้ออ่อน มีพูพอนไว้ค้ำยันลำต้นให้คงอยู่ ถ้าวัดเส้นรอบวงแนบตามพูพอนที่ยื่นออกมา จะได้ประมาณ 97 เมตร แต่ถ้าใช้คนกางแขนโอบจะใช้คนประมาณ 40 คน ใกล้กับต้นจะมีป้ายอ่านได้ความว่า ต้นไม้ต้นนี้เดิมพ่อตาของนายเฮียง ชาวป่า จะขายให้กับพ่อค้า เพื่อนำไปทำก้านไม้ขีดไฟ ทำไม้ไอศกรีม และเอาพูพอนไปทำที่ตีข้าว แต่นายเฮียง ชาวป่า ได้เล็งเห็นว่าต้นไม้ใหญ่ๆ ในชุมชนแห่งนี้ ได้ถูกโค่นไปหมดแล้ว เหลือเพียงต้นนี้ต้นเดียว จึงขอไว้และดูแลรักษามาจนเราได้มาเห็นในวันนี้

สำหรับที่นอนในคืนนี้ของเราเป็นที่ของชาวบ้านชื่อ “ยางนาแคมป์” บรรยากาศดีมากๆ พื้นที่เต็มไปด้วยต้นยางนาขนาดใหญ่ในพื้นที่ประมาณ 2 ไร่เศษ ล้อมรอบด้วยทางน้ำเล็กๆ อากาศค่อนข้างเย็น ลืมบอกท่านผู้อ่านว่าที่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี มีอากาศเย็นตลอดปี เหมาะแก่การนอนเต็นท์ อยากเชิญชวนท่านผู้อ่านมาลองสัมผัสบรรยากาศแบบป่าๆ กันบ้าง ถ้ามีโอกาสลองดูนะคะ บางทีท่านอาจจะติดใจ สำหรับเมืองอุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากบนวิถีสโลว์ไลฟ์ แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้าค่ะ